สำนึกเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า

ช่างเป็นข่าวที่น่ากลัว เมื่อแม่บ้านชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่กับครอบครัวของนายจ้างถูกกระทำทารุณจนเธอเสียชีวิต นายจ้างเหล่านั้นต้องเข้าคุกในที่สุด แต่ผมรู้สึกว่านั่นไม่เพียงพอ พวกเขาควรต้องเจ็บปวดจากความทารุณแบบเดียวกับที่พวกเขาทำต่อเธอ และถูกประหารชีวิต ผมคิด จากนั้นผมนึกสงสัยว่าความโกรธของผมข้ามเส้นไปหรือเปล่า ผมผิดไหมที่คิดแบบนั้น

การอ่านสดุดี 109 ช่วยให้ผมเข้าใจถึงสำนึกในเรื่องความยุติธรรมตามธรรมชาติของเรา ดาวิดเป็นคนหนึ่งที่ปล้ำสู้กับความโกรธต่อคนเหล่านั้นที่ทำผิดต่อผู้ยากจนและขัดสน “ขอให้วันเวลาของเขาน้อย...ขอให้ลูกของเขากำพร้าพ่อและภรรยาของเขาเป็นม่าย” (ข้อ 8-9)

แต่กษัตริย์ดาวิดไม่ได้แก้แค้นคนเหล่านี้ แม้ว่าพระองค์มีอำนาจที่จะทำเช่นนั้น แต่ดาวิดหันหาพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งความยุติธรรมและการปลดปล่อยที่แท้จริง “ทั้งนี้ขอให้เป็นบำเหน็จจากพระเจ้า แก่โจทก์ของข้าพระองค์ แก่ผู้ที่กล่าวร้ายต่อชีวิตของข้าพระองค์” ดาวิดกล่าว “ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดตามความรักมั่นคงของพระองค์” (ข้อ 20, 26)

ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างเราให้มีสำนึกในเรื่องความยุติธรรม เพราะนั่นสะท้อนถึงพระลักษณะของพระองค์ และเราสามารถแสดงความรู้สึกของเราได้อย่างซื่อตรง แต่ท้ายที่สุดแล้วเราต้องวางการตัดสินและการลงโทษไว้กับพระองค์ วางใจให้พระองค์ประทานความยุติธรรมในเวลาและด้วยวิธีการของพระองค์ อัครทูตเปาโลพูดถึงเรื่องนี้ชัดเจนว่า “อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาชญา” (รม.12:19)

เพ่งมองที่พระเยซู!

แอนดรูว์พบว่าการสอนลูกชายขี่จักรยานทำให้เขาหงุดหงิด ลูกชายวัยห้าขวบมักจะหักเลี้ยวไปด้านข้างและล้มลง เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะลูกชายของเขามักจะหันมองไปทางด้านหนึ่ง แอนดรูว์จึงเกิดความคิดบางอย่าง “เห็นเสาต้นนั้นไหม” เขาถามลูกชาย “แค่มองดูเสานั้นแล้วปั่นไป” ลูกชายของเขาก็ทำตาม และคราวนี้เขาปั่นต่อไปได้เรื่อยๆ

เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำหรับแอนดรูว์เอง ในเวลาต่อมาเขาเล่าเรื่องนี้ในกลุ่มเซลล์ของเขาและสรุปว่า สิ่งที่เราจ้องมองคือสิ่งที่เราจะมุ่งไปหา ไม่น่าแปลกใจที่ฮีบรู 12:2 (TNCV) เรียกร้องให้เรา “เพ่งมองที่พระเยซูผู้ทรงลิขิตความเชื่อและทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์” อยู่เสมอ

ความรับผิดชอบและการงานประจำวันในชีวิตสามารถดึงความสนใจของเราออกจากการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณได้ เช่นเดียวกับนิสัยแห่งบาปและความคิดหมกมุ่นที่เกาะเราแน่น (ข้อ 1) แต่ถ้าเราเพ่งมองไปที่พระเยซูและขอให้พระองค์ช่วยให้เรายกพระองค์เป็นที่หนึ่งทั้งในความคิด การตัดสินใจ และการกระทำของเรา พระองค์จะทรงนำเราในทุกสิ่งที่เราทำและพูด ช่วยเราให้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ได้ในการวิ่งแข่งบนโลกนี้ นี่อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้เราปฏิบัติตามหน้าที่ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้เรา พระองค์จะประทานกำลังให้เราอดทนและเอาชนะสิ่งใดๆ ที่ขัดขวางเส้นทางของเรา เพื่อที่เราจะไม่ “อ่อนล้าและท้อแท้ใจ” (ข้อ 3 TNCV)

การปรนนิบัติพระเจ้าในแต่ละฤดูกาล

หลังจากใช้เวลาในการดูแลคาเลบอยู่หลายปี มาร์ครู้สึกผิดหวังเมื่อทราบว่าผู้นำคริสตจักรได้มอบหมายอีกคนหนึ่งให้มาเป็นพี่เลี้ยงของชายหนุ่มคนนี้ ผู้นำกล่าวว่า “ในที่สุด คาเลบก็มีพี่เลี้ยง”

พวกเขาคิดว่าผมทำอะไรตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ มาร์คสงสัย แม้ว่าเขาจะไม่ได้คาดหวังรางวัลหรือการยอมรับ แต่เขาก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หลายปีต่อมาคาเลบบอกว่ามาร์คได้เข้ามาในชีวิตของเขาในเวลาที่เขาต้องการการทรงนำฝ่ายวิญญาณมากที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดหนุนใจนี้มาร์คจึงตระหนักในทันทีว่า พระเจ้าเป็นผู้ประทานของประทานที่เฉพาะเจาะจงให้กับผู้เชื่อในพระเยซูเพื่อรับใช้พระองค์ในแบบที่แตกต่างกัน โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น และพระองค์เป็นผู้กำหนดเวลา

ใน 1 โครินธ์ 12:4-31 เปาโลเน้นย้ำถึงคุณค่าของอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ คือ คริสตจักร ซึ่งมีของประทาน บทบาท และหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแตกต่างกัน และในบทที่ 3 ท่านได้เตือนเราให้ระลึกถึงพระองค์ผู้เป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของผลลัพธ์ทั้งปวงว่า “ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงทำให้เติบโต” (ข้อ 6)

เราแต่ละคนอาจได้รับโอกาสและฤดูกาลที่พิเศษในการทำงานของพระเจ้า พระเจ้าไม่เหมือนกับมนุษย์ พระองค์ไม่เคยเปรียบเทียบสิ่งที่เราทำกับคนอื่นเพราะทรงรักเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว ขอให้เราจับตาและมุ่งความสนใจไปยังการทำสิ่งที่ดีที่สุดในฤดูกาลที่พระเจ้าประทานแก่เรา โดยพึ่งพาในกำลังและฤทธิ์อำนาจที่พระองค์ประทานให้เราอย่างเต็มที่ และไม่ต้องกังวลว่าผู้อื่นจะประสบความสำเร็จอย่างไรในเวลาและวิธีการของพวกเขา

ฝากไว้กับพระเจ้า

ขณะเกาะอยู่สูงบนหน้าผาจำลองซาราห์รู้สึกตื่นตระหนกเมื่อนิ้วมือที่อ่อนแรงเริ่มจับที่ยึดไม่อยู่ ฉันจะตกกระแทกพื้นแรงแค่ไหนนะ เธอสงสัย

แต่ครูฝึกยังคงตะโกนให้ความมั่นใจจากด้านล่าง ในฐานะ “ผู้ควบคุมเชือกป้องกันตก” ซึ่งคอยดึงปลายเชือกที่ผูกไว้กับเข็มขัดโรยตัวของซาราห์ผ่านรอก น้ำหนักของเขาจะคอยรั้งเธอไว้ถ้าเธอตก “ผมหนักกว่าคุณเยอะ!” เขาตะโกน “แค่ปล่อยมือ”

เธอจึงปล่อยมือแล้วค่อยๆเหวี่ยงตัวออกจากผา และห้อยตัวอยู่กลางอากาศอย่างปลอดภัย

เหตุการณ์นี้ทำให้ซาราห์มีมุมมองใหม่ต่อภาพของพระเจ้าในสดุดี 18:2 “พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เป็นพระศิลา...เป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์” ซาราห์ได้รู้ว่า “พระเจ้าทรงหนักกว่าปัญหาทั้งหมดของฉันมาก ฉันสามารถปล่อยมือจากความกังวลและความกลัว แล้วพระองค์จะทรงรับฉันไว้”

กษัตริย์ดาวิดร้องบทเพลงจากสดุดี 18 หลังจากที่พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์จาก “น้ำอันมากหลาย” ซึ่งก็คือ “ศัตรูเข้มแข็ง” ที่กำลังมองหาช่องทางทำให้พระองค์เจอ “วันที่...เกิดภัยพิบัติ (ข้อ 16-18) แม้ปัญหาของพระองค์จะไม่หายไป แต่พระองค์รู้ว่าสามารถไว้วางใจองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น และพระเจ้าทรงยึดพระองค์ไว้อย่างมั่นคง

ยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า

เวนดี้รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม ในระหว่างช่วงพักกลางวัน เจ้านายของเธอวางช็อกโกแลตไว้บนโต๊ะของทุกคนยกเว้นเธอ เธอโอดครวญกับเพื่อนด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงมองข้ามฉันไป”

เมื่อไปถามเจ้านายเขาจึงอธิบายว่า “ช็อกโกแลตพวกนั้นยังกินได้อยู่ แต่ก็เก็บมาสักพักแล้ว เวนดี้กำลังท้อง ผมเลยต้องระวังเป็นพิเศษ” แล้วเขาก็หัวเราะ “แต่สำหรับพวกคุณที่เหลือ....”

เหตุการณ์เล็กๆนี้กลายเป็นเรื่องตลกในสำนักงาน แต่ก็ทำให้ฉันคิดว่าบางครั้งเราก็อ่านเจตนาของพระเจ้าผิดไปเนื่องจากความเข้าใจและการรับรู้ที่จำกัดของเรา กระทั่งเราอาจเชื่อว่าตัวเองเป็นเหยื่อของการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม โดยลืมไปว่าพระเจ้าทรงคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเราเสมอ ทุกเวลา

อิสยาห์ 55:8-9 เตือนเราว่า แม้เราอาจไม่เข้าใจความคิดและวิถีของพระเจ้าทั้งหมด แต่เราก็มั่นใจได้ว่าสิ่งเหล่านั้น “สูงกว่าทางของ [เรา]” (ข้อ 9) ทางของเรามักได้รับอิทธิพลจากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว แต่วิถีของพระองค์สมบูรณ์แบบ เปี่ยมด้วยพระเมตตาและชอบธรรม ดังนั้นแม้ว่าในตอนนี้สิ่งต่างๆอาจดูไม่ดีนัก แต่เราสามารถวางใจว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราจริงๆ (ข้อ 1-2) เพราะพระองค์ทรงรักและสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญานิรันดร์ของพระองค์ (ข้อ 3) ให้เรา “ทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” (ข้อ 6) โดยรู้ว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา

วางใจพระเจ้าด้วยสุดใจ

แมวจรจัดที่ร้องอย่างน่าสงสารทำให้ผมหยุดเดิน ผมเพิ่งจะเดินผ่านกองอาหารที่มีคนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ผมคิดว่า ว้าว พระเจ้าทรงจัดเตรียมอาหารให้แมวที่หิวโหยตัวนี้ อาหารถูกทิ้งไว้หลังเสาใกล้ๆ ผมจึงพยายามล่อให้เจ้าแมวผอมแห้งไปที่นั่น มันขยับเข้ามาหาผมอย่างไว้ใจ จากนั้นก็หยุดและไม่ตามผมอีก ผมอยากจะถามว่า ทำไมเจ้าไม่ไว้ใจในทางที่ฉันบอก มีอาหารทั้งมื้อรอเจ้าอยู่!

นั่นทำให้ผมฉุกคิด ผมไม่ได้ทำอย่างเดียวกันในความสัมพันธ์ของผมกับพระเจ้าหรอกหรือ บ่อยแค่ไหนที่ผมตอบสนองการทรงนำของพระองค์โดยคิดว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่คิดว่าคำแนะนำของพระองค์จะไว้ใจได้ โดยที่ไม่รู้ว่าการจัดเตรียมอันยอดเยี่ยมของพระองค์อาจจะรออยู่ตรงมุมถนน

วิถีของพระเจ้านั้นคู่ควรที่เราจะไว้วางใจ เพราะพระองค์ทรงรักเราและคิดถึงประโยชน์สูงสุดของเรา พระองค์ตรัสกับเราว่า “เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่” (สดด.32:8) แต่พระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นสัตว์ที่ต้องถูกควบคุม (ข้อ 9) ทรงปรารถนาให้เราติดตามพระองค์ด้วยความเต็มใจ และทรงสัญญาถึงการสถิตอยู่ด้วยตลอดเป็นนิตย์เมื่อเรากระทำดังนั้น “ความรักมั่นคงจะล้อมบุคคลที่วางใจในพระเจ้า” (ข้อ 10) สิ่งที่เราต้องทำคือเพียงแค่ติดตามพระองค์ต่อไป โดยรู้ว่าพระองค์จะทรงอยู่กับเราทุกย่างก้าว

สร้างให้ทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้า

ในตอนแรกผมเพิกเฉยที่เห็นบัตรที่หล่นอยู่บนพื้น พ่อและลูกสาวตัวน้อยที่ทำบัตรหล่นไว้อยู่ห่างออกไปเพียงหกเมตร และผมก็กำลังไปทำงานสาย เดี๋ยวพวกเขาต้องรู้ตัวแน่ ผมบอกกับตัวเอง แต่สามัญสำนึกดึงผมกลับมา ผมเดินกลับไปเก็บมันขึ้นมา บัตรนั้นเป็นตั๋วรถประจำทางที่ชำระเงินล่วงหน้าไว้แล้ว เมื่อผมยื่นบัตรให้กับพวกเขา คำขอบคุณที่พรั่งพรูออกมาทำให้ผมรู้สึกดีอย่างคาดไม่ถึง ทำไมผมจึงรู้สึกดีขนาดนี้ทั้งที่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆเท่านั้น ผมสงสัย

ความจริงคือว่าธรรมชาติของร่างกายมนุษย์จะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราอารมณ์ดีเมื่อเรามีใจกรุณาต่อผู้อื่น เราถูกสร้างมาให้รู้สึกดีเมื่อเราทำความดี! นั่นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะเราถูกสร้างโดยพระเจ้าผู้ทรงแสนดี ผู้ทรงสร้างเราให้เป็นเหมือนพระองค์

ในพระธรรมเอเฟซัส 2:10 แสดงให้เราเห็นว่าการอวยพรผู้อื่นเป็นส่วนหนึ่งในพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้ให้เรา “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ” ข้อนี้ไม่เพียงบอกให้เราทำดีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยิ่งใหญ่เสมอไป หากเราทำสิ่งเล็กๆเพื่อช่วยผู้อื่นในชีวิตประจำวันของเรา เราไม่เพียงได้รับรางวัลแห่งความพึงพอใจ แต่เรายังรู้ด้วยว่าเราเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้เรากระทำ

พระเจ้าทรงติดตามหาเรา

เป็นเวลาหลายปีที่อีวานต่อสู้กับการเสพติดซึ่งขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้พระเจ้า เขาสงสัยว่า ผมจะคู่ควรกับความรักของพระองค์ได้อย่างไร ดังนั้นขณะที่เขายังคงไปโบสถ์ เขารู้สึกว่ามีช่องว่างที่ต่อไม่ติดซึ่งทำให้เขาแยกจากพระเจ้า

แต่เมื่อใดก็ตามที่อีวานอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อบางสิ่งบางอย่าง ดูเหมือนว่าพระเจ้าก็ตอบเขา พระเจ้ายังได้ส่งผู้คนมาหนุนใจและปลอบโยนเขาในยามยากลำบาก หลายปีผ่านไปอีวานตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงติดตามเขาและสำ-แดงต่อเขาอย่างต่อเนื่องว่าพระองค์ทรงรักและห่วงใยเขาเสมอมา เวลานั้นเองที่เขาเริ่มไว้วางใจในการทรงอภัยและในความรักของพระเจ้า “ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าผมได้รับการอภัยแล้วและยอมให้พระเจ้านำผมเข้ามาใกล้พระองค์ ถึงแม้ว่าผมยังคงต่อสู้กับการเสพติดอยู่ก็ตาม” เขากล่าว

เอเสเคียล 34:11-16 บอกเราเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ที่ทรงติดตามหาประชากรของพระองค์ “เราเองจะค้นหาแกะของเรา และจะเที่ยวหามัน” พระองค์ตรัสไว้โดยทรงปฏิญาณว่าจะช่วยกู้พวกเขาและเลี้ยงดูพวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์ (ข้อ 11) นี่เป็นเวลาหลังจากที่ผู้นำซึ่งเป็นมนุษย์ได้ละทิ้งพวกเขา และพวกเขาเองก็ไม่ได้เชื่อฟังผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริงของพวกตน (ข้อ 1-6) ไม่ว่าเราจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์โดยที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ หรือกำลังดิ้นรนต่อสู้กับผลจากความบาปของเราเอง พระเจ้าทรงติดตามหาเราด้วยความรัก พระองค์ทรงนำเรากลับมาหาพระองค์ด้วยพระเมตตาและพระคุณ หากคุณหลงลืมพระเจ้า จงหันกลับมาหาพระองค์ จากนั้นโดยการทรงนำของพระองค์ จงเดินไปกับพระองค์ทุกวัน

พระเจ้าจะลงมือทำ

เอรินเป็นพนักงานที่ทำงานหนัก เธอทำงานได้ดีเสมอ แต่หลังจากถูกกล่าวหาว่าไม่ซื่อสัตย์ เอรินถูกให้พักงานระหว่างการสอบสวน เธอรู้สึกอยากลาออกเพื่อประท้วงแต่ได้รับคำแนะนำให้รอก่อน “ถ้าลาออกก็เท่ากับว่าเธอทำผิดจริง” มีคนบอกเธอเช่นนั้น เอรินจึงอยู่รอและอธิษฐานขอพระเจ้าทรงมอบความยุติธรรมให้กับเธอ และแน่นอนว่าไม่กี่เดือนต่อมาเธอก็พ้นข้อกล่าวหา

มาระโกอาจรู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อเปาโลตัดเขาออกจากทีมที่เดินทางไปประกาศ เป็นเรื่องจริงที่ชายหนุ่มทิ้งพวกเขาไปก่อนหน้านั้น (กจ.15:37-38) แต่บางทีเขาอาจรู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้นและหวังจะได้เข้าร่วมในครั้งนี้ เขาคงรู้สึกว่าถูกเปาโลตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม มีแต่บารนาบัสที่เชื่อในตัวเขา

หลายปีต่อมา เปาโลเปลี่ยนใจโดยกล่าวว่า “จงไปตามมาระโกและพาเขามาด้วย เพราะเขาช่วยปรนนิบัติข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี” (2 ทธ.4:11) มาระโกคงรู้สึกเบาใจที่ชื่อเสียงของเขาได้รับการกู้คืน

เมื่อเราถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ขอให้เราจำไว้ว่าพระเยซูทรงเข้าใจความรู้สึกของเรา พระองค์เองถูกตัดสินว่าเป็นคนบาปทั้งๆที่ไม่ได้เป็น และพระองค์ได้รับการปฏิบัติที่แย่ยิ่งกว่าอาชญากรแม้ว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า แต่พระองค์ยังคงทำตามพระประสงค์ของพระบิดาต่อไป โดยรู้ว่าพระองค์จะได้รับการพิสูจน์และแสดงให้เห็นว่าทรงชอบธรรม ถ้าคุณถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม อย่ายอมแพ้ พระเจ้าทรงทราบและจะลงมือทำในเวลาของพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา