สร้างให้ทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้า

ในตอนแรกผมเพิกเฉยที่เห็นบัตรที่หล่นอยู่บนพื้น พ่อและลูกสาวตัวน้อยที่ทำบัตรหล่นไว้อยู่ห่างออกไปเพียงหกเมตร และผมก็กำลังไปทำงานสาย เดี๋ยวพวกเขาต้องรู้ตัวแน่ ผมบอกกับตัวเอง แต่สามัญสำนึกดึงผมกลับมา ผมเดินกลับไปเก็บมันขึ้นมา บัตรนั้นเป็นตั๋วรถประจำทางที่ชำระเงินล่วงหน้าไว้แล้ว เมื่อผมยื่นบัตรให้กับพวกเขา คำขอบคุณที่พรั่งพรูออกมาทำให้ผมรู้สึกดีอย่างคาดไม่ถึง ทำไมผมจึงรู้สึกดีขนาดนี้ทั้งที่เป็นเพียงเรื่องเล็กๆเท่านั้น ผมสงสัย

ความจริงคือว่าธรรมชาติของร่างกายมนุษย์จะหลั่งสารเคมีที่ทำให้เราอารมณ์ดีเมื่อเรามีใจกรุณาต่อผู้อื่น เราถูกสร้างมาให้รู้สึกดีเมื่อเราทำความดี! นั่นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะเราถูกสร้างโดยพระเจ้าผู้ทรงแสนดี ผู้ทรงสร้างเราให้เป็นเหมือนพระองค์

ในพระธรรมเอเฟซัส 2:10 แสดงให้เราเห็นว่าการอวยพรผู้อื่นเป็นส่วนหนึ่งในพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้ให้เรา “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ” ข้อนี้ไม่เพียงบอกให้เราทำดีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยิ่งใหญ่เสมอไป หากเราทำสิ่งเล็กๆเพื่อช่วยผู้อื่นในชีวิตประจำวันของเรา เราไม่เพียงได้รับรางวัลแห่งความพึงพอใจ แต่เรายังรู้ด้วยว่าเราเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้เรากระทำ

พระเจ้าทรงติดตามหาเรา

เป็นเวลาหลายปีที่อีวานต่อสู้กับการเสพติดซึ่งขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้พระเจ้า เขาสงสัยว่า ผมจะคู่ควรกับความรักของพระองค์ได้อย่างไร ดังนั้นขณะที่เขายังคงไปโบสถ์ เขารู้สึกว่ามีช่องว่างที่ต่อไม่ติดซึ่งทำให้เขาแยกจากพระเจ้า

แต่เมื่อใดก็ตามที่อีวานอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อบางสิ่งบางอย่าง ดูเหมือนว่าพระเจ้าก็ตอบเขา พระเจ้ายังได้ส่งผู้คนมาหนุนใจและปลอบโยนเขาในยามยากลำบาก หลายปีผ่านไปอีวานตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงติดตามเขาและสำ-แดงต่อเขาอย่างต่อเนื่องว่าพระองค์ทรงรักและห่วงใยเขาเสมอมา เวลานั้นเองที่เขาเริ่มไว้วางใจในการทรงอภัยและในความรักของพระเจ้า “ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าผมได้รับการอภัยแล้วและยอมให้พระเจ้านำผมเข้ามาใกล้พระองค์ ถึงแม้ว่าผมยังคงต่อสู้กับการเสพติดอยู่ก็ตาม” เขากล่าว

เอเสเคียล 34:11-16 บอกเราเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ที่ทรงติดตามหาประชากรของพระองค์ “เราเองจะค้นหาแกะของเรา และจะเที่ยวหามัน” พระองค์ตรัสไว้โดยทรงปฏิญาณว่าจะช่วยกู้พวกเขาและเลี้ยงดูพวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์ (ข้อ 11) นี่เป็นเวลาหลังจากที่ผู้นำซึ่งเป็นมนุษย์ได้ละทิ้งพวกเขา และพวกเขาเองก็ไม่ได้เชื่อฟังผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริงของพวกตน (ข้อ 1-6) ไม่ว่าเราจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์โดยที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ หรือกำลังดิ้นรนต่อสู้กับผลจากความบาปของเราเอง พระเจ้าทรงติดตามหาเราด้วยความรัก พระองค์ทรงนำเรากลับมาหาพระองค์ด้วยพระเมตตาและพระคุณ หากคุณหลงลืมพระเจ้า จงหันกลับมาหาพระองค์ จากนั้นโดยการทรงนำของพระองค์ จงเดินไปกับพระองค์ทุกวัน

พระเจ้าจะลงมือทำ

เอรินเป็นพนักงานที่ทำงานหนัก เธอทำงานได้ดีเสมอ แต่หลังจากถูกกล่าวหาว่าไม่ซื่อสัตย์ เอรินถูกให้พักงานระหว่างการสอบสวน เธอรู้สึกอยากลาออกเพื่อประท้วงแต่ได้รับคำแนะนำให้รอก่อน “ถ้าลาออกก็เท่ากับว่าเธอทำผิดจริง” มีคนบอกเธอเช่นนั้น เอรินจึงอยู่รอและอธิษฐานขอพระเจ้าทรงมอบความยุติธรรมให้กับเธอ และแน่นอนว่าไม่กี่เดือนต่อมาเธอก็พ้นข้อกล่าวหา

มาระโกอาจรู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อเปาโลตัดเขาออกจากทีมที่เดินทางไปประกาศ เป็นเรื่องจริงที่ชายหนุ่มทิ้งพวกเขาไปก่อนหน้านั้น (กจ.15:37-38) แต่บางทีเขาอาจรู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้นและหวังจะได้เข้าร่วมในครั้งนี้ เขาคงรู้สึกว่าถูกเปาโลตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม มีแต่บารนาบัสที่เชื่อในตัวเขา

หลายปีต่อมา เปาโลเปลี่ยนใจโดยกล่าวว่า “จงไปตามมาระโกและพาเขามาด้วย เพราะเขาช่วยปรนนิบัติข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี” (2 ทธ.4:11) มาระโกคงรู้สึกเบาใจที่ชื่อเสียงของเขาได้รับการกู้คืน

เมื่อเราถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ขอให้เราจำไว้ว่าพระเยซูทรงเข้าใจความรู้สึกของเรา พระองค์เองถูกตัดสินว่าเป็นคนบาปทั้งๆที่ไม่ได้เป็น และพระองค์ได้รับการปฏิบัติที่แย่ยิ่งกว่าอาชญากรแม้ว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า แต่พระองค์ยังคงทำตามพระประสงค์ของพระบิดาต่อไป โดยรู้ว่าพระองค์จะได้รับการพิสูจน์และแสดงให้เห็นว่าทรงชอบธรรม ถ้าคุณถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม อย่ายอมแพ้ พระเจ้าทรงทราบและจะลงมือทำในเวลาของพระองค์

ทดลองและทดสอบ

สแตนลี่ย์รักในความยืดหยุ่นและอิสระของงานที่เขาทำในฐานะคนขับรถรับจ้างส่วนบุคคล โดยเฉพาะการที่เขาสามารถเริ่มและหยุดงานได้ตามเวลาที่ต้องการ และไม่ต้องรายงานเรื่องเวลาทำงานและความเคลื่อนไหวของตนให้กับใคร แต่เขากล่าวว่านั่นกลับเป็นเรื่องยากที่สุด

“การทำงานแบบนี้ทำให้มีเรื่องชู้สาวเข้ามาได้ง่ายมาก” เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ผมรับผู้โดยสารทุกประเภท แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนในแต่ละวันรวมทั้งภรรยาของผมด้วย” การต่อต้านการทดลองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเพื่อนๆคนขับรถหลายคนก็ต้านทานไม่ไหว เขาอธิบายว่า “สิ่งที่หยุดผมไว้คือการคิดว่าพระเจ้าจะทรงคิดเช่นไร และภรรยาของผมจะรู้สึกอย่างไร”

พระเจ้าผู้ทรงสร้างเราแต่ละคนทรงทราบถึงจุดอ่อนของเรา ความปรารถนาที่มี และทรงรู้ว่าเราถูกล่อลวงได้ง่ายเพียงใด แต่ตามที่ 1 โครินธ์ 10:11-13 เตือนว่า เราสามารถขอความช่วยเหลือจากพระองค์ได้ “พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้” เปาโลกล่าวว่า “เมื่อท่านถูกทดลองนั้น [พระเจ้า ]จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้” (ข้อ 13) “ทางที่จะหลีกเลี่ยงได้” นั้นอาจเป็นความกลัวต่อผลที่ตามมา เป็นความรู้สึกผิด เป็นการคิดถึงข้อพระคัมภีร์ มีสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจในเวลานั้นพอดี หรือสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ เมื่อเราขอกำลังจากพระเจ้า พระวิญญาณจะหันสายตาของเราจากสิ่งที่ล่อลวงเรา และช่วยให้เรามองไปยังทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ซึ่งพระองค์ประทานให้

เวลาของพระเจ้า

แม็กรอคอยการไปเที่ยวต่างประเทศที่เธอวางแผนไว้แล้ว แต่เช่นเดียวกับที่เธอทำมาตลอด เธออธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน “ก็แค่วันหยุดเท่านั้นเอง” เพื่อนของเธอทัก “ทำไมเธอต้องปรึกษาพระเจ้าด้วย” แต่แม็กเชื่อในการวางมอบทุกอย่างไว้กับพระองค์ ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าพระเจ้าหนุนใจให้เธอยกเลิกการเดินทาง เธอจึงทำตามนั้น และต่อมาในช่วงเวลาที่เธอควรจะอยู่ที่นั่น ได้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ประเทศนั้น เธอบอกว่า “ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงปกป้องฉัน”

โนอาห์ก็พึ่งพาในการปกป้องของพระเจ้าเช่นกันเมื่อท่านและครอบครัวรออยู่ในเรือเป็นเวลาเกือบสองเดือนหลังจากน้ำท่วมลดลง หลังจากต้องอยู่ในเรือมานานกว่าสิบเดือน ท่านคงกระตือรือร้นอยากออกมาข้างนอก ในที่สุดแล้ว “น้ำก็แห้งจากแผ่นดิน” และ “พื้นดินแห้ง” (ปฐก.8:13) แต่โนอาห์ไม่ได้พึ่งพาแค่สิ่งที่ท่านมองเห็น ท่านออกจากเรือตอนที่พระเจ้าบอกให้ออกมา (ข้อ 15-19) ท่านเชื่อวางใจว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่ดีสำหรับการรอคอยที่ยาวนานมากขึ้น บางทีพื้นดินอาจยังไม่ปลอดภัยพอก็เป็นได้

เมื่อเราอธิษฐานในเรื่องการตัดสินใจของชีวิต โดยใช้สติปัญญาที่พระเจ้ามอบให้และรอคอยการทรงนำของพระองค์ เราสามารถวางใจในเวลาของพระองค์ได้ โดยรู้ว่าองค์พระผู้สร้างผู้ทรงปัญญาของเรารู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา ดังที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพระองค์วางใจในพระองค์...วันเวลาของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์” (สดด.31:14-15)

ความหวังในพระเจ้า

เจเรมี่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอเข้ากับอะไร เมื่อเขาไปถึงมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนหลักสูตรสามปีและขอห้องที่ถูกที่สุดที่มีในหอพัก “มันเลวร้ายมาก” เขาเล่า “ห้องพักและห้องน้ำแย่มาก” แต่เขามีเงินไม่มากและมีทางเลือกน้อยนิด “ทั้งหมดที่ผมสามารถทำได้” เขาบอก “คือการคิดว่า ผมมีบ้านดีๆที่จะกลับไปในอีกสามปีข้างหน้า ดังนั้นผมจะอยู่กับสิ่งนี้และใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดที่นี่”

เรื่องราวของเจเรมี่สะท้อนถึงความท้าทายในแต่ละวันของการดำเนินชีวิตใน “เรือนดิน” คือร่างกายมนุษย์ที่ต้องตาย (2 คร.5:1) ซึ่งอาศัยในโลกที่กำลังล่วงไป (1 ยน.2:17) ดังนั้นเราจึง “ครวญคร่ำเป็นทุกข์” (2 คร.5:4) ขณะดิ้นรนเพื่อรับมือกับความยากลำบากมากมายของชีวิตที่ถาโถมเข้าใส่เรา

สิ่งที่ทำให้เราดำเนินต่อไปได้คือความหวังอันแน่นอนว่าวันหนึ่งเราจะมี “กายใหม่” (ข้อ 4) คือร่างกายที่ฟื้นขึ้นใหม่และเป็นอมตะ และอาศัยอยู่ในโลกที่ปราศจากการคร่ำครวญและความอนิจจัง (รม.8:19-22) อย่างในปัจจุบัน ความหวังนี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันที่พระเจ้าประทานด้วยความรักให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด พระองค์ยังทรงช่วยให้เราสามารถใช้ของประทานและความสามารถที่พระองค์ประทานให้ได้ เพื่อเราจะสามารถรับใช้พระองค์และผู้อื่น และนั่นจึงเป็นเหตุให้ “เราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์” (2 คร.5:9)

พระเจ้าทรงควบคุมอยู่

แครอลไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงเกิดขึ้นพร้อมกัน ราวกับว่าเรื่องงานยังไม่เลวร้ายพอ ลูกสาวของเธอยังมากระดูกเท้าแตกที่โรงเรียน และตัวเธอเองติดเชื้อร้ายแรง ฉันทำอะไรจึงสมควรได้รับสิ่งนี้ แครอลรู้สึกสงสัย สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือ ทูลขอกำลังจากพระเจ้า

โยบไม่รู้ว่าเหตุใดหายนะจึงโจมตีท่านอย่างหนักเช่นกัน ความเจ็บปวดและการสูญเสียนั้นใหญ่ยิ่งกว่าที่แครอลเผชิญมากนัก ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าท่านรับรู้ถึงการต่อสู้ในจักรวาลเพื่อจิตวิญญาณของท่าน ซาตานต้องการทดสอบความเชื่อของโยบ โดยอ้างว่าท่านจะหันจากพระเจ้าถ้าท่านสูญเสียทุกสิ่งที่มี (โยบ 1:6-12) เมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อนของโยบยืนกรานว่าท่านกำลังถูกลงโทษเพราะบาปของท่าน แม้นั่นจะไม่ใช่สาเหตุ แต่โยบคงต้องสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นเรา สิ่งที่โยบไม่รู้คือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น

เรื่องราวของโยบให้บทเรียนที่ทรงพลังมากในด้านการทนทุกข์และด้านความเชื่อ เราอาจพยายามค้นหาสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความเจ็บปวดของเรา แต่อาจมีเรื่องราวเบื้องหลังที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งเราจะไม่มีวันเข้าใจในช่วงชีวิตของเรา

เช่นเดียวกับโยบ เราสามารถยึดมั่นในสิ่งที่เรารู้ ซึ่งก็คือ พระเจ้าทรงควบคุมอยู่อย่างสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดออกมา แต่ในท่ามกลางความเจ็บปวดนั้น โยบยังคงมองไปที่พระเจ้าและวางใจในอธิปไตยสูงสุดของพระองค์ “พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (ข้อ 21) ขอให้เรายังคงวางใจในพระเจ้าต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และแม้ว่าเราจะไม่อาจเข้าใจได้ก็ตาม

ด้วยวิธีการง่ายๆ

ตอนที่เอลซี่ป่วยเป็นมะเร็งเธอเตรียมพร้อมที่จะกลับไปบ้านบนสวรรค์เพื่อไปอยู่กับพระเยซู แต่เธอกลับมาหายดี แม้โรคร้ายจะทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้ และยังทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงยังให้เธอมีชีวิตอยู่ “ข้าพระองค์จะทำการดีอะไรได้อีก” เธอถามพระองค์ “ข้าพระองค์มีเงินและความสามารถไม่มาก และยังเดินไม่ได้ ข้าพระองค์จะทำประโยชน์ให้พระองค์ได้อย่างไร”

แต่แล้วเธอก็พบวิธีง่ายๆในการรับใช้ผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนทำความสะอาดบ้านที่เป็นผู้อพยพ เธอซื้ออาหารให้หรือไม่ก็มอบเงินเล็กน้อยให้ทุกครั้งที่พบพวกเขา เงินที่ให้อาจจะน้อยนิดแต่มีส่วนช่วยพวกคนงานในการยังชีพได้ ขณะที่ทำเช่นนั้น เธอพบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูเธอผ่านญาติมิตรที่มอบของขวัญและเงินให้เธอ ทำให้เธอสามารถเป็นพรกับผู้อื่นต่อได้

เมื่อเธอแบ่งปันเรื่องราวนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าเอลซี่ได้นำการทรงเรียกที่ให้รักซึ่งกันและกันใน 1 ยอห์น 4:19 มาปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” เช่นเดียวกับความจริงในกิจการ 20:35 ที่ย้ำเตือนเราว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”

เอลซี่ให้เพราะเธอได้รับและเธอก็ได้รับการหนุนน้ำใจเมื่อให้ออกไป เธอไม่ได้ใช้อะไรมากมายไปกว่าหัวใจที่รักและขอบพระคุณ และความเต็มใจที่จะให้ในสิ่งที่เธอมี ซึ่งพระเจ้าก็ทรงเพิ่มพูนสิ่งเหล่านั้นกลับมาให้ในวงจรแห่งการให้และการรับอันงดงาม ขอให้เราทูลขอพระองค์จะประทานหัวใจที่สำนึกในพระคุณ และมีใจกว้างขวางในการให้ตามที่พระองค์ทรงนำเรา!

วันที่ 3- พระคุณสำหรับวันนี้ | เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนสูญเสีย

เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนสูญเสีย
เพียง 6 เดือนชีวิตของเจอรัลด์พังทลาย วิกฤติเศรษฐกิจทำลายธุรกิจและทรัพย์สิน ลูกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่ของเขาสะเทือนใจมากจนหัวใจล้มเหลวเสียชีวิต ภรรยาซึมเศร้า ลูกสาวสองคนเก็บตัว เขาได้แต่พูดอย่างผู้เขียนสดุดีว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (สดุดี 22:1)

เจอรัลด์ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยหวังว่าวันหนึ่งพระเจ้าผู้ทรงให้พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ จะปลดปล่อยเขาและครอบครัวจากความเจ็บปวดไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ชื่นชมยินดี เป็นความหวังว่าพระเจ้าจะตอบเสียงร้องทูลขอความช่วยเหลือ ดังดาวิดผู้เขียนสดุดีซึ่งแน่วแน่ที่จะวางใจพระเจ้ายามลำบาก โดยยึดมั่นในความหวังว่าพระเจ้าจะปลดปล่อยและช่วยกู้ท่าน (ข้อ 4-5)

ความหวังนั้นค้ำจุนเจอรัลด์ไว้ ตลอดหลายปีเมื่อมีคนถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบได้เพียงแค่ว่า “ครับ ผมกำลังไว้วางใจพระเจ้า”

พระเจ้าทรงยกย่องความวางใจของเจอรัลด์ ทรงปลอบโยน เสริมกำลังเรี่ยวแรงและความกล้าหาญแก่เขามาตลอดหลายปี ครอบครัวของเขาค่อยๆ ฟื้นจากวิกฤติ และต่อมาไม่นาน เจอรัลด์ก็ได้หลานปู่คนแรก ตอนนี้เสียงร้องไห้ของหลาน กลายเป็นคำพยานถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า “ผมไม่ถามอีกต่อไปว่า ‘เหตุไฉนพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพระองค์’ เพราะพระเจ้าอวยพรผม”

ยามที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเหลือ ยังคงมีความหวัง

เขียนโดย เลสลี่ โคห์

คิดใคร่ครวญ :
มีสิ่งใดที่ช่วยให้คุณระลึกถึงและยึดมั่นในความหวังที่แน่นอนและมั่นคงว่าจะได้รับการปลดปล่อย การไว้วางใจพระเจ้าช่วยค้ำจุนคุณอย่างไรในช่วงยากลำบาก

อธิษฐาน :
เมื่อฉันรู้สึกถูกทอดทิ้ง ฉันยึดมั่นในความหวังที่มาจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ซึ่งวันหนึ่งจะปลดปล่อยฉันสู่ความชื่นชมยินดีนิรันดร์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา